สารจากคณะกรรมการ
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.5 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 2.0 แต่ต่ำกว่าที่คาตการณ์ไว้เมื่อต้นปีและยังคงเป็นการเติบโตแบบไม่ทั่วถึงเช่นปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยหลักมาจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันการส่งออกขยายตัวจากปีก่อนตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่เพิ่มขึ้นรวมถึงการเติบโตของรายจ่ายภาครัฐที่ขยายตัวขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเบิกจ่ายงบประมาณ อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายภาคครัวเรือนได้รับแรงกดดันจากภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนหตตัว จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของปี 2567ยังอยู่ในระดับต่ำ คณะกรรมการนโยบายการเงินจึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงจากร้อยละ 2.50 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี เมื่อเตือนตุลาคม 2567 เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชน ซึ่งอัตราดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อเป้าหมาย รวมถึงรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่เพิ่มสูงขึ้น
จากภาวะเศรษฐกิจในปี 2567 ที่มีการอัตราการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ และเป็นการเติบโตแบบไม่ทั่วถึง กลุ่มธนชาตจึงให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงของบริษัทในกลุ่ม และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องมาจากปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 6,646 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.65 จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 6,603 ล้านบาทสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทฯ ลงทุนในบริษัทร่วมที่เติบโตขึ้นถึงร้อยละ 19.34 ตามผลการดำเนินงานของบริษัทร่วม ทั้งธนาคารทหารไทยธนชาตและเอ็มบีเคที่ปรับตัวตีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากผ่านช่วง COVID-19 มาอย่างไรก็ตาม รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงตามปริมาณสินเชื่อเช่าซื้อของราชธานีลิสซิ่งที่ปรับลดลงตามนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นและการชะลอตัวของตลาดรถบรรทุก และการผิดนัดชำระหนี้ของลูกค้าบัญชีให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์และการปิดสถานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แต่ในภาพรวมแล้วผลการดำเนินงานของปี 2567 ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เมื่อพิจารณาจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม นำโดยธุรกิจประกันที่สามารถเติบโตเบี้ยประกันภัยรับได้จำนวนรวมเกินกว่า 10,000 ล้านบาทเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน เช่นเดียวกับธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน ที่ยังคงเติบโตได้ดีและสามารถขยายสินเชื่อได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้
มองไปข้างหน้าในปี2568 เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญความกดตันจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน อาทิ นโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์รวมถึงปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงและยังคงเติบโตแบบไม่ทั่วถึง และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมของกลุ่มธนชาตดังนั้น ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มธนชาตในปี 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ จึงยังคงเน้นหนักในเรื่องการสร้างความมั่นคงของบริษัทในกลุ่ม และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพต่อไปเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตแบบไม่ทั่วถึง ดังกล่าวแต่อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในอนาคตยังมีแนวโน้มปรับตัวตีขึ้นคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 1.25 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากเงินปันผลระหว่างกาลปีก่อนที่จ่ายในอัตราหุ้นละ 1.20 บาท และเสนอผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดที่สองอีก 2.05 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 3.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็นร้อยละ 52.07 ของกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯโดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จ่าย 3.20 บาทต่อหุ้น
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ("บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต"ยังได้พิจารณาเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 พิจารณาอนุมัติให้บริษัทฯ ขายหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตที่บริษัทถืออยู่ทั้งหมดให้แก่ธนาคารทหารไทยธนชาตจำกัด (มหาชน)("วธนาคารทหารไทยธนชาต")โดยพิจารณาเห็นว่าการที่บริษัทหลักทรัพย์ธนชาตได้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและเครือข่ายการดำเนินธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตอันจะเป็นผลตีต่อพนักงาน ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ทั้งนี้บริษัทฯยังคงเป็นผู้ถือหุ้นทางอ้อมของบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต ผ่านการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารทหารไทยธนชาต ในสัดส่วนเกือบร้อยละ25 ซึ่งจะสามารถทำการซื้อขายหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตได้ภายใต้การอนุมัติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นของคู่สัญญา และธนาคารทหารไทยธนชาตได้รับอนุญาตจากหน่วยงานทางการที่เกี่ยวข้อง
คณะกรรมการบริษัทฯ ได้กำกับดูแลการดำเนินงานและการดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ตีมาอย่างต่อเนื่องจนมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างมั่นคงและสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นมาโดยตลอดในปี2567 คณะกรรมการบริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางเทคโนโลยีสารสนเทศรวมทั้งได้มีการติดตามการพัฒนาด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาโดยตลอดนอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้กำกับดูแลผ่านคณะกรรมการชุดย่อยและหน่วยงานต่าง ๆ ของบริษัทฯ และบริษัทในกลุ่มธนชาตให้ความสำคัญกับการพัฒนาการดำเนินการด้านความยั่งยืน ทั้งมิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) มิติด้านสังคม (Social) และมิติด้านเศรษฐกิจและบรรษัทภิบาล (Governance) (ESG) โดยดำเนินการตามแนวทางที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและองค์กรที่เกี่ยวเนื่องในการส่งเสริมการดำเนินการด้านความยั่งยืนเผยแพร่ โดยส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้เกี่ยวกับ ESG และมีการดำเนินงานที่ลดการใช้ทรัพยากร การดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่มีเป้าหมายและแผนงานอย่างเป็นรูปธรรมเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทในกลุ่มธนชาต ซึ่งในปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทในกลุ่มได้รับรางวัลต่าง ๆดังที่เปิดเผยในรายงานฉบับนี้ และที่สำคัญบริษัทฯ ยังได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน "SET ESG Ratings" โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระดับ "AA" เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ Aและอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่สำคัญในการดำเนินงานต่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนทั้งนี้ บริษัทในกลุ่มธนชาตยังคงให้ความสำคัญกับแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปซันของภาคเอกชนไทย (Thai Private Sector Collective Action Against Coruption: CAC) ด้วยการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรดังกล่าวต่อเนื่องนานกว่า 10 ปี
คณะกรรมการบริษัทฯ จะยังมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถต่อไป โดยขอขอบคุณทุกความไว้วางใจและการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และเชื่อว่าจะได้รับความไว้วางใจและการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ตลอดจนพนักงานทุกคนต่อไป
ในนามของคณะกรรมการ
(นายบันเทิง ตันติวิท)
ประธานกรรมการ

(นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ)
กรรมการผู้จัดการใหญ่

รองประธานกรรมการ
และกรรมการผู้จัดการใหญ่

